วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แผ่นตราไปรษณียากรที่ระลึก (Souvenir Sheets)

ปัจจุบันการขายแสตมป์บวกชานกระดาษ ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่า

แผ่นตราไปรษณียากรที่ระลึก(Souvenir Sheets) หรือที่

นักสะสมตราไปรษณียากรเรียกกันสั้นๆว่าแผ่นชีท

มีแนวโน้มว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทยจะขยันออกมามาก

โดยไม่ต้องอาศัยวาระพิเศษใดๆ เฉกเช่นอดีต

เพื่อสนองตอบต่อความอยากได้ของนักสะสม

ซึ่งก็สามารถทำเงินให้ บริษัท ไปรษณีย์ไทยได้บ้าง

และการบวกค่าชานกระดาษรอบดวงแสตมป์ ก็ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น

การบวกราคาแต่ล่ะชุดนั้นมีตั้งแต่ 5 บาท กระทั่งถึง 16 บาท ก็เคยมี

แต่มูลค่าที่สามารถนำไปใช้ได้ในกิจการไปรษณีย์จริงๆ มีเพียง

มูลค่าตามหน้าดวงแสตมป์เท่านั้น

แต่นักสะสมจำนวนหนึ่ง ต่างก็ควักกระเป๋าจ่ายออกไปเพื่อที่จะได้เป็นเจ้าของมัน

เนื่องด้วยหลายท่านอาจจะคาดการณ์ว่า ค่าตัวมันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

ดั่งเช่นแผ่น Sheet ในยุคแรกๆ ที่เคยพิมพ์ขึ้นมาจำหน่ายในประเทศไทย

ทว่านับแต่หลังจากปี 2530 เป็นต้นมา นักสะสมต่างย่อมทราบดีว่า

แทบจะไม่มี Sheet แผ่นใด ที่จะสร้างมูลค่ามากได้เหมือนในอดีต

ย้อนหลังปี 2552 ขึ้นไป นั้น มีเพียง


Sheet พระเครื่องเบจภาคี


ชุดไทย-อิตาลี

และชุดงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี ชุด 1

เท่านั้น ที่เรียกว่าสามารถสร้างราคาได้บ้าง

แต่ก็เป็นไปตามกระแสที่เกิดขึ้นช่วงสั้นๆเท่านั้น หลังจากนั้นความจริงก็กลับมา

ที่มูลค่าที่แท้จริงของมัน ซึ่งราคาก็ไปไม่ถึงอย่างที่แผ่นชีทในอดีตได้เคยทำไว้

ทำไมอะไรเป็นปัจจัยให้มันเป็นเช่นนั้น


อันดับหนึ่งเลยก็คือ บริษัท ไปรษณีย์ไทยเองนั่นแหล่ะที่ทำลายมูลค่าและคุณค่าของแผ่นชีท


-เริ่มจากขอบชานรอบดวงแสตมป์ ที่ไม่ได้ตั้งใจผลิต เว้นว่างบ้าง ภาพและฉาก

ประกอบไม่เข้ากันบ้าง ทั้งที่ต่างประเทศนั้น มีให้ดูเป็นเยี่ยง มากมาย แบบอย่างก็มากมี

ที่มีทั้งใส่เรื่องราว เนื้อหาเกี่ยวข้องกับภาพในดวงแสตมป์

สำแดงให้ถึงความไม่เป็นมืออาชีพ (มือไม่ถึงว่างั้นเหอะ) ของผู้เกี่ยวข้อง

ที่เอาแนวของเขามาได้บ้างก็เช่น ชุด เรือ



-สอง จำนวนพิมพ์ ที่เอาแน่นอนไม่ได้ เพิ่ม ลด ตามใจฉัน

ส่อถึงความไร้มาตรฐานขององค์กร ระดับชาติแห่งนี้


-สามผู้บริหาร ขาดซึ่งความรู้ในประวัติศาสตร์ของชาติและสถาบัน ไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นจุดขาย

และชื่อเสียงของชาติไทย หลายเหตุการณ์ควรจะจัดทำก็ไม่ได้ทำ

หลายเหตุการณ์ ไม่จำเป็น ก็มีออกมา

ทั้งที่เจ้ากระดาษชิ้นน้อยนี้ เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

หลายประเทศ ได้อาศัยเจ้ากระดาษชื้นน้อยนี้เป็น ช่องทาง เผยแพร่ ศิลปวัฒนธรรม

อารยะธรรมต่างๆ ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยน เสา เสาชิงช้า


นับแต่สร้างกรุงรัตนโกสินทร์มามีการเปลี่ยนเสาชิงช้าไม่กี่ครั้งเท่านั้น

เรียกว่าไม่ได้เปลี่ยนกันทุกรัชกาล

แต่บริษัท ไปรษณีย์ไทย ก็พลาดโอกาสในวาระสำคัญนี้ไป

ไอ้ที่ไม่สมควรจัดทำอย่างเช่น จตุคามรามเทพ ก็ทำออกมา

สุดท้ายขายไม่ได้ พิมพ์ทับแจกมันซ่ะเลย

แต่มันก็ไปใช้อะไรไม่ได้ ไม่มีค่างวดอะไร


-สี่ คุณภาพของสิ่งพิมพ์ เพื่อ กำไรสูงสุดขององค์กร

ต้นทุนการผลิตจึงต้องถูกนำมาคำนวณอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฉะนั้นแล้ว สามารถคะเนได้ถึงชิ้นงานที่ออกมาให้ซื้อหาได้เป็นอย่างดี


แผ่นตราไปรษณียากร หลายชุด แม้จะออกมาจำหน่ายกว่า 20 ปี แล้ว ก็ตาม

แต่ยังสามารถหาซื้อได้ตามไปรษณีย์ทั่วไป ราคาก็เท่ากับราคาที่วางตลาดขายในวันแรก

ทั้งที่ในหลายๆชุดนั้นมิอาจจะหาซื้อได้ตามเคาน์เตอร์ไปรษณีย์ ในวันที่เรียกอย่างเป็น

ทางการว่าวันแรกจำหน่าย(กรณีนี้ให้ใช้กับ ตราไปรษณียากร และซองวันแรกจำหน่ายด้วย)

ซึ่งเปิดขายวันแรกแต่ไม่มีของขาย


ถ้ามี ก็มีจำกัดต้องต่อคิว เข้าแถวเวียนกันหาซื้อ ซ้ำร้ายต้องเจอกับการเอาเปรียบ

ทางการค้าอีกขายเหล้าพ่วงเบียร์คือไม่สามารถซื้อชนิดเดี่ยวๆได้ ต้องซื้อพ่วงมากับกระดาษ

เปื้อนหมึกหลากสีมีข้อความประวัติสั้นของเจ้ากระดาษชิ้นน้อยนั้น ด้วยราคาตกแผ่นล่ะ

25-35 บาท ตามแต่ว่าความต้องการเฉพาะหน้านั้น มีมากน้อยขนาดไหน

แต่หลังจากหมดกระแสแล้วขายไม่ออก ก็จะเห็นปรากฏอยู่ในงานเวลาที่

บริษัท ไปรษณีย์ไทยไปจัดแสดงเป็นของแถมให้กับบรรดาผู้มีอุปการคุณ รายใหม่ต่อไป

หรือที่เห็นชัดๆคือให้ไปเลือกคุ้ยเอาเองในราคาส่วนลดที่ต้องตกตลึง

แบบไม่แน่ใจว่าทีมงานลืมเขียนเลขตัวใดตัวหนึ่งไปรึเปล่า

อ้าว หากเป็นราคานี้จริง แล้วของที่บ้านตู ที่แพคไว้

ทนุถนอมอย่างดี มันจะมีมูลค่าเท่าไหร่ฟร๊ะ


ปัจจุบันนั้นมีช่องทาง ถ่ายเทกะตังค์จากกระเป๋านักสะสมอีกหลายทาง

โดยทาง บริษัท ไปรษณีย์ไทย.ได้ผลิตออกมาจำหน่ายแบบไม่เป็นกิจจะลักษณะ

คือชีทไม่ปรุรู ก็คือเจ้าแผ่นตราไปรษณียากรที่ว่ามาแต่ต้นนั่นแหละ

แล้วไอ้ที่เรียกว่าชนิดไม่ปรุรู ก็คือชนิดไม่ได้ เจาะรูรอบๆดวงแสตมป์นั่นแหล่ะ

ต่ขอโทษทีเถอะพี่น้อง ไอ้แผ่นที่ว่าปรุรู มันบวกค่าขอบกระดาษเบาะก็ตั้งแต่

5 -15 บาท ก็ว่าเหลือทนแล้ว แต่ไอ้่เจ้าแผ่นไม่ปรูรู นี่มันว่าซ่ะให้เข็ดไปเลย

ชนิดที่น้องๆหนูๆ ที่อยู่ในวัยเรียน ผู้ปกครองอยากจะหากิจกรรมพิเศษยามว่าง

ให้ห่างไกลจากยาเสพติดหรือติดเกมส์ เบือนหน้าหนี เลิกคิดฝันไปเลย

มันไม่ได้เป็นการส่งเสริมการสะสมตราไปรษณียากร ให้เป็นงานอดิเรกดั่งเช่นอดีตที่ผ่านมา

บริษัท ไปรษณีย์ไทย เปิดขาย ตกแล้วแผ่นล่ะ 999.-บ้าง 1,999 บ้าง 5,000 บ้าง

เรียกว่าแบ่งชนชั้นไปเลย จนแล้วอย่าสะเออะ คิดจะมาสะสมเลย

สมกับคำกล่าวที่ว่าเป็นงานอดิเรกของพระราชาจริงๆ ไม่มีตังค์หรือเงินน้อย ขอท่านให้มองข้าม

งานอดิเรกชนิดนี้ไปเลย ไปหางานอดิเรกชนิดอื่นที่ พอสบายกระเป๋าซ่ะดีกว่า


ส่วนท่านที่หลวมตัวสะสมเข้ามาแล้วล่ะ จะทำประการใด ก็ว่ากันไปตามอัตภาพ

ตามอัธยาศัยเถอะครับ ไม่เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่นก็ใช้ได้ล่ะครับ

และหากจะมองในแง่ของการลงทุนล่ะก็ ขอเถอะ อย่ามาจ่อมจมกับของแพง

ที่ไม่ค่อยจะมีอนาคตแบบนี้เลย ไม่คุ้มค่าในแง่เศรษฐกิจหรอก

เพราะอย่าลืมว่าปัจจุบัน บริษัท ไปรษณีย์ไทยนั้นแปรรูปแล้ว กำไรสูงสุดเป็นขององค์กร

(กำไรของบริษัทน่ะครับ ไม่ใช่กำไรของนักสะสม)


ส่วนช่องทางของการหาซื้อมาสะสม (หรืออะไรก็ได้แล้วแต่จะเรียกอาทิ ลงทุน เก็งกำไร

ก็ว่ากันไป) ก็โดยตรงเลยครับ เคาน์เตอร์ไปรษณีย์ใกล้บ้าน จะนับแผ่น ยกแหนบ ยกกล่อง

ว่ากันได้เลยตามอัธยาศัยอันนี้หมายถึงชนิดปรุรูทั่วไปน่ะครับ ส่วนชนิดไม่ปรุรู ก็ต้องคอย

ตะแคงฟังว่าวันไม่ี้ดีคืนร้าย เมื่อไหร่จะมีออกมาดูดทรัพย์จากกระเป๋าเรา

ซึ่งตอนนี้กิจกรรมของบริษัท ไปรษณีย์ไทย ก็ไม่ต่างไปจากงานแสดงสินค้าต่างๆ

ตามตลาดนัด คือมีทุกครั้งที่มีงาน ระยะหลังมันถึงไม่ค่อยจะขลังหรือไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์

ดังเช่นอดีต และประการที่สำคัญ มิใช่ว่ามีเงินแล้วจะกดจากตู้เอทีเอ็มแล้วกำเงินไป

แจ้งว่าจะซื้อเท่านั้นเท่านี้ลอยๆได้น่ะครับ ส่วนใหญ่ก็จะออกมาเป็นเหมือนโปรโมรชั่น

ล่อซื้อ เอ๊ย หลอกให้ซื้อ เอ๊ยแลกซื้อ คือต้องซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของ บริษัท ไปรษณีย์ไทย

เท่านั้นเท่านี้ ทำยอดให้ให้ได้ถึงจะซื้อหาได้ (บางงานยังซื้อไม่ได้อีกคือต้องเขียนชื่อใส่กล่อง

ล้วงจับสลากขึ้นมาว่ามีสิทธิ์ซื้อ) ถึงจะได้ซื้อน่ะครับ ไม่ใช่จะได้กันมาง่ายๆ มันถึงแพง ไง

ตั้งราคาไว้ค่อนข้างสูง ถึงสูงมากๆไว้บริการลูกค้าอีก กลุ่มหนึ่งของ บริษัท ไปรษณีย์ไทยเขา

( ซึ่งทั่วประเทศไมยมีไม่น่าจะถึง 1,000 คน หรอกกระมัง เช็คจากยอดพิมพ์ของเขาที่ว่า

มีจำกัดจำนวน 1,000 แผ่นเท่านั้น ส่วนจริงๆแล้วจะมีเท่าไหร่ ไม่อาจจะเข้าถึงข้อมูลตรงนี้ได้

เนื่องจาก connection มีเพียงแค่โต๊ะอาหาร อิ่มแล้วก็ตัวใครตัวมันกลับบ้านไป)


บางคนหลวมตัวสะสมเจ้าแผ่นไม่ปรุรูที่ว่าแล้วก็เห็นว่ามันต้องยอมให้ถูกหลอกซื้อ

เอ๊ยแลกซื้อตามแต่ที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จะตั้งเงื่อนไข บางรายตัดความรำคาญการแลกซื้อ

มันหยุบหยับไปก็ไปพึ่งร้านค้าให้เขาฟาดฟันเอาบ้าง พอเลือดซิบเลือดอาบบ้างตามสมควร อย่างน้อย

ก็ลดยอดเงินทุนที่จะต้องจ่ายไปสำหรับการหลอกซื้อเอ๊ยล่อซื้อในแต่ล่ะครั้งได้ อย่าลืมน่ะครับ

ขอย้ำ บริษัท ไปรษณีย์ไทยแปรรูปแล้วกำไรสูงสุดเป็นขององค์การ ไม่ใช่กำไรสูงสุดเป็นของนักสะสม

ทำความเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องก่อนแล้วค่อยกระโจนเข้าวงการนี้ก็ยังไม่สาย


แล้วที่นี้มาดูกันครับ ปี 2552 ขณะที่เขียนอยู่นี้ คือไตรมาสสองแฮ่ะๆ เรียกให้มันหรูๆ เข้าไว้

เรามีชีทไม่ปรรูสองชุดแล้วจ้า แต่มันอาจจะไม่ใช่เช่นนั้นน่ะซิ ที่ได้ยินได้ฟังและรู้เห็นมา ชุดใกล้ๆ

ที่จะถึงในตอนนี้ ยังไม่ข้ามไปไตรมาสสาม บริษัท ไปรษณีย์ไทย แกก็ทำชีทไม่ปรุรู อีกแล้ว

เหนื่อยมั๊ยล่ะ นักสะสม ขอเสียงหน่อย


เอาล่ะลองมาคำนวณเล่นๆ กับโปรโมรชั่นแลกซื้อ น่ะครับ เอาสมมุติเอาโปรโมรชั่นล่าสุด

จ่ายเงินให้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย 3,000.-บาท แลกซื้อชีทไม่ปรุรูราคา 500.-บาท

เราก็ต้องควักเป็นเงินทั้งหมด 3,500.-บาท ไอ้เงินที่จ่ายไป 3,000.-บาทนั้น คุณอาจจะซื้อเป็น

แสตมป์หรือสิ่งสะสมอื่นใดที่คุณไม่มีก็ได้ หรือสมัครสมาชิกเงินฝาก หรือสมาชิกวารสาร ก็ได้ทั้งนั้น


1.กรณีซื้อเป็นแสตมป์หรือสิ่งสะสมอื่นใดที่เราไม่มี ข้อที่ไม่ควรลืมก็คือ สิ่งที่เราหา

เราไม่มีสะสม บริษัท ไปรษณีย์ไทย.ก็จะไม่มีเช่นเดียวกัน


เอ้าล่ะตัดใจซื้อเป็นแสตมป์อะไรก็ได้มา 3,000.-บาทเลย เก็บไว้รอปิดจดหมาย

หรือธุรกรรมอื่นใดก็ได้(ว่ะ) คิดผิดเปล่าไม่ใช่ห้างร้านน่ะครับ จะได้มีธุรกรรมด้านจดหมายหรือ

สิ่งพิมพ์มากๆ จะได้เอาแสตมป์มาติด แล้วเขียนจดหมายให้แฟนล่ะ ขืนใช้วิธีนี้รับรอง

มอ. คอ. ปอ. ดอ. (ผู้มีเล็บงามคาบไปรับประทาน) ยุคนี้เขาใช้มือถือจ๊ะจ๋ากันจ๊ะ

ทำไงดีเอาไปขายลดราคากับร้านค้าซิ ตีซ่ะว่า 20% ก็แล้วกันเงินก็จะหายไป 600.- เท่ากับ

ชีทไม่ปรุรูแผ่นนี้หมดสตังค์ไป 1,100.-บาท ตามมูลค่าเงินที่หายไป

แต่อย่าลืมน่ะครับแสตมป์ไม่ใช่ทองคำที่จะแปลงมูลค่าเป็นเงินตราง่ายๆ และ

ไอ้แสตมป์หรือสิ่งสะสมที่เราซื้อมา 3,000 นั้น ส่วนใหญ่แล้ว เรามี ร้านค้าก็มี แถมบอกเราว่า

มีเยอะกว่าที่เอ็งถือมาอีกด้วย โยกโย้ โยกเยก วกวน และจะขอให้ลดมากกว่า 20 % เสียอีก

เผลอๆร้านค้ามัน เบือนหน้าหนีปฎิเสธดื้อๆไม่เอา ไม่ซื้อ ไม่อยากเอาเงินไปจม


อ้าว....แล้วตูอยากเอาเงินไปจมซ่ะเมื่อไหร่เล่า อ้อ ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วยอีกอย่างหนึ่งก็คือ

ท่านอย่าได้คิดฝันว่าแสตมป์ที่ท่านได้มานั้น อนาคตภายภาคหน้ามันจะมีมูลค่ามากกว่า

ปัจจุบันที่ครอบครองอยู่ ไม่ว่าจะใช้วิธีการคำนวณแบบใด จะอิงกับค่าเงิน ค่า GDP

ค่าครองชีพ ค่า FT อะไรก็แล้วแต่ มันไม่มีทั้งนั้น ท่านต้องตื่นขึ้นมารับรู้กับความเป็นจริงว่า

แสตมป์ที่ท่านมี พ่อค้าเขาก็มี ไม่นับที่ท่านดูแลรักษาไม่ดีแล้วมันจะเหลืองสนิม ลดมูลค่า

จากหน้าดวงให้ช้ำใจเล่นอีกต่างหากด้วยน่ะครับ


2.เอาเงิน 3,000.- บาทไปสมัครเป็นสมาชิกเงินฝากหรือเพิ่มเข้าบัญชีเงินฝาก ต้นไม่สูญ

ไม่มีดอกเบี้ย เงินฝากมีมูลค่าเต็มจำนวน 3,000.-บาท แต่เสียโอกาสที่จะเอาเงินนี้ไปทำธุรกรรม

ด้านอื่น ถ้าเงินเหลือเยอะก็ลุยโลดไม่ต้องใส่ใจ คิดมากแต่ประการใด


3.สมัครสมาชิกวารสาร ปีแถมปี บางลอตแถม 10 ปี ตูจะเลิกสะสมก่อนไหมนี่ เงิน 3,000

กับกระดาษเปื้อนหมึกที่เนื้อหาอ่อนมากๆ ข่าวสารประเภทเชิงบันทึกประวัติศาสตร์กิจกรรมที่ไดจัด

ไปแล้วเมื่อเดือนหรือสองเดือนที่ผ่านมา มากกว่า ที่จะเป็นวารสารที่ให้ข่าวสารล่วงหน้าชนิด

เดือนหน้ามีอะไร อาทิตย์หน้าไปไหน ที่ไหน ซึ่งไม่ทันเหตูการณ์ แต่ถ้าชอบอ่านเบื้องหลัง สรุปข่าว

ก็เหมาะมากมาถูกทางแล้วครับ หากคิดจะอาศัยพึ่งพิงข่าวสารจากวารสารในการวางแผนเตรียมตัว

เตรียมสิ่งสะสม คิดว่าเก็บ 3,000.-ไว้ แล้วไปควักกระเป๋าจ่ายตามแผงทีล่ะ 25บาท เวลาปลายเดือน

จะดีกว่าด้วย อย่างเช่นฉบับ เดือนพฤษภาคม นี้ก็ไปซื้อวันที่ 1 มิถุนายน เอา รับรองว่าไม่ Out

ไปจากแผงง่ายๆแน่นอน ที่สำคัญไม่หงุดหงิดหัวใจอีกต่างหากว่า วารสารมาไม่ตรงเวลา

เพราะถึงอย่างไรเราก็ได้อ่านข่าวเก่าอยู่แล้ว


อย่างที่บอกไว้ล่ะครับนี่เพิ่งไตรมาสที่สองเพิ่งจะเดือนพฤษภาคม อีกไม่กี่วัน เราก็จะ

มีชีทไม่ปรุรูถึง 3 แผ่น สำหรับปี2552 แล้วอีกเจ็ดเดือนที่เหลือล่ะ จะมีอีกกี่แผ่น


หากคิดเล่นๆ 3 แผ่นที่ว่านั้นโปรโมรชั่นแลกซื้อเท่ากันคือ 3,000.-


กรณีที่ 1 เราเก็บแสตมป์ไว้ถึง 9,000 หาก ถ้าไม่เก็บเราตากหน้าไปตระเวนหา

ขายร้านค้าให้ช่วยซื้อ 3 หน ฝ้าขึ้นหน้าไม่เป็นไรครับ ขอยาทาฝ้าของภรรยามาใช้ได้


กรณีที่ 2 เรามีเงินเก็บที่ไม่ได้ดอกเบี้ยถึง 9,000.- แล้วแต่ล่ะชุดนั้นเรามีคำสั่งซื้อ

เท่าไหร่ เงิน 9,000 จะไปหมดที่ชุดไหน



กรณีที่ 3 เมินดีกว่ามั๊ง เชื่อผมเหอะ 9,000 กับหนังสือที่กองเป็นตั้งๆ แจกโรงเรียนก็ไม่แจก

ไม่รู้จะกองให้มันเก่า ฝุ่นขึ้นทำไม หรือจะให้ข่าวมันเก่ากว่านี้ เอาไปซื้อโดราเอมอนให้เจ้าตัวเล็ก

คุ้มกว่าเราจะได้ยืมอ่านได้ด้วย


สุดท้าย ท้ายสุด หากอยากได้จริงๆก็พึ่งร้านค้าเจ้าประจำน่ะแหล่ะ ประมาณการตามข่าวคือ

สมมุติว่าเขาขายแผ่นล่ะ 1,350.-บาท


(ก่อนอิ่นขอออกตัวก่อนว่าตัวกระผมก็ไม่ใช่ร้านค้า หรือมีส่วนได้ใดๆ ที่เขียนมาถึงตรงนี้้

ปกติมักจะส่วนเสียมากกว่า คือเสียตังค์ให้เขาเหมือนกัน

และหลายเจ้าก็ไม่ค่อยจะถูกชะตาราศรีกันเท่าใด)


ลองมาคิดดูเล่นๆ


กรณีที่ 1 หากเก็บแสตมป์ที่แลกซื้อไว้ทั้งหมด ท่าน เซฟเงินไป 2,550.บาท

แสตมป์ยังอยู่ครบทุกดวงส่วนมูลค่าของมันก็อย่างที่เล่าไว้ข้างบน


แล้วถ้าเกิดไปขายลดเปอร์เซ็นต์ได้ล่ะ ท่านต้องจ่ายค่าประหยัดเวลาไป 1,050.-บาท


กรณีที่2 และ 3 เงินเหลืออยู่แล้ว 2,550.-บาท


ก็เป็นทางเลือกให้ท่านเลือกเอาครับ ถ้าไม่ได้มีเงินถุงเงินถังแล้วสายป่านยาวๆ

ก็อยู่ที่ท่านจะเลือกจ่ายค่าเสียเวลา หรือว่าจะยอมเอาสตางค์ไปจม ที่สำคัญอย่าลืมข้อนี้

เป็นอันขาด ไม่เหมือนอดีตน่ะครับ ที่มีวาระสำคัญๆ 4-5 ปี ถึงจะได้ออกมาแผ่นหนึ่ง

บริษัท ไปรษณีย์ไทย.แปรรูปแล้ว กำไรสูงสุดเป็นขององค์กรไม่ได้เป็นของนักสะสม

หากไม่เข้าใจรบกวนให้ไปอ่านข้างบนอีกรอบ และอีกข้อหนึ่งก็คือ นี่เพิ่งไตรมาสสองน่ะครับ